วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ประวัติความเป็นมาของนิทานโคบุตร

ประวัติความเป็นมา


        โคบุตรเป็นกลอนนิทานเรื่องแรกของสุนทรภู่ แต่งขึ้นเพื่อถวายเจ้านายในพระราชวังหลังพระองค์หนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่า คือ พระองค์ปฐมวงค์ เป็นเรื่องเกียวกับ ดคบุตรซึ่งเป็นลูกของพระอาทิตย์และนางอัปสร โดยฝากเลี้ยงไว้กับพยาราชสีห์ และนางไกรสร เมื่อเจริญชันาาโคบุตรซึ่งได้รับของวิเศษจากพระอาทิต คือ แหว และสังวาล และได้รับมอบใบยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้มีชีวิตได้จากราลสีห์ต่อจากนัเนจึงเป็นเรื่องการผจญภัยของโคบุตร ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่งในตอนท้ายที่โคบุตรมีพระมเหสีสองคน คือนางอำพันมาลา และนางมณีสาคน นางอำพันมาลาเห็นโคบุตรรักนสงมณีสาครมากกว่าตน จึงทำเสน่ห์ให้โคบุตรหลงรัก แต่อรุณกุมารได้แก้ไขเสน่ห์ โดยโคบุตรโกรธมากถึงกับสั่งประหาร แต่อรุณกุมารขอร้อง โคบุตรจึงขับไล่นางอำพันมาลาออกจากวัง ดังต่อไปนี้


   
 โฉมอำพันมาลาน้ำตาไหล
เห็นชาวในพระสนมมาคับคั่ง
ค่อยหยุดยืนฝืนองค์ทรงประทัง
เหลียวมาสั่งสาวสวรรค์กำนัลใน
จงปกป้องครองกันเป็นผาสุก
อย่ามีทุกข์เศร้าสร้อยละห้อยไห้
เรามีกรรมจำลาเจ้าคลาไคล
หักพระทัยออกจากทวารา



ที่มา: https://sites.google.com/site/thai021ss/1-khobutr/3-khxkhid

ประวัติผู้แต่ง

ประวัติสุนทรภู่



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สุนทร ภู่



ถ้าเอ่ยชื่อ "สุนทรภู่" เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียงก้องโลก โดยเฉพาะกลอนนิทานเรื่อง "พระอภัยมณี" จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านงานวรรณกรรม  หรือ "มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์" หรือ "เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย" และคงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า "วันที่ 26 มิถุนายน" ของทุกปีคือ "วันสุนทรภู่" ซึ่งมักจะมีการจัดนิทรรศการ ประกวดแต่งคำกลอน เพื่อแสดงถึงการรำลึกถึง เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาด ขอพาไปเปิดประวัติ "วันสุนทรภู่" ให้มากขึ้นค่ะ...



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สุนทร ภู่
          
             สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า หรือตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 08.00 น. นั่นเอง ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน)   บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา ชื่อแม่ช้อย สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้น สุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งสุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม
 "สุนทรภู่" ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม เพราะตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว 20 ปี
           ต่อมาสุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน ซึ่งเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349 จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุก เขากับแม่จันก็เดินทางไปหาบิดาที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ "พ่อพัด" ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ ส่วนสุนทรภู่กับแม่จันก็มีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ จนภายหลังก็เหลังจากนั้น สุนทรภู่ ก็เดินทางเข้าพระราชวังหลัง และมีโอกาสได้ติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2350 และเขาก็ได้แต่ง "นิราศพระบาท" พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย และหลังจาก "นิราศพระบาท" ก็ไม่ปรากฏผลงานใด ๆ ของสุนทรภู่อีกเลยเลิกรากันไปจนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนแต่งตั้งให้เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง "รามเกียรติ์" ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น "ขุนสุนทรโวหา ต่อมาในราว พ.ศ. 2364 สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไม่นานก็พ้นโทษ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "สังข์ทอง" ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระราชหฤทัย ทรงให้สุนทรภู่ทดลองแต่งก็เป็นที่พอพระราชหฤทัย ภายหลังพ้นโทษ สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 และเชื่อกันว่าสุนทรภู่แต่งเรื่อง "สวัสดีรักษา" ในระหว่างเวลานี้ ซึ่งในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ "พ่อตาบ"
          "สุนทรภู่" รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) อยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่าง ๆ หลายแห่ง ได้แก่ วัดเลียบ, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์, วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม ซึ่งผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่าง ๆ มากมาย งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขา คือ "รำพันพิลาป" โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385ทั้งนี้ ระหว่างที่ออกเดินทางธุดงค์ ภิกษุภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ จนพระองค์ประชวรสิ้นพระชนม์ สุนทรภู่จึงลาสิกขา รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ 10 พรรษา สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง แต่อยู่ได้เพียง 2 พรรษา ก็ลาสิกขา และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชวังเดิม รวมทั้งได้รับอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังในปี พ.ศ. 2394 และรับราชการต่อมาได้ 4 ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70 ปี ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว) ที่เรียกชื่อกันว่า "ห้องสุนทรภู่
          สำหรับทายาทของสุนทรภู่นั้น เชื่อกันว่าสุนทรภู่มีบุตรชาย 3 คน คือ "พ่อพัด" เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน, "พ่อตาบ" เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และ "พ่อนิล" เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อ "พ่อกลั่น" และ "พ่อชุบ" อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น และตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือผลงานของสุนทรภู่

        
  ผลงานของสุนทรภู่

          หนังสือบทกลอนของสุนทรภู่มีอยู่มาก เท่าที่ปรากฏเรื่องที่ยังมีฉบับอยู่ในปัจจุบันนี้คือ...
ประเภทนิราศ

          - นิราศเมืองแกลง (พ.ศ. 2349) - แต่งเมื่อหลังพ้นโทษจากคุก และเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง
        - นิราศพระบาท (พ.ศ. 2350) - แต่งหลังจากกลับจากเมืองแกลง และต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์       ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีในวันมาฆบูชา
       - นิราศภูเขาทอง  (ประมาณ พ.ศ. 2371) - แต่งโดยสมมุติว่า เณรหนูพัด เป็นผู้แต่งไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดอยุธยา
      - นิราศสุพรรณ (ประมาณ พ.ศ. 2374) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผลงานเรื่องเดียวของสุนทรภู่ที่แต่งเป็นโคลง
      - นิราศวัดเจ้าฟ้า (ประมาณ พ.ศ. 2375) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่วัดเจ้าฟ้าอากาศ (ไม่ปรากฏว่าที่จริงคือวัดใด) ที่จังหวัดอยุธยา
     - นิราศอิเหนา (ไม่ปรากฏ, คาดว่าเป็นสมัยรัชกาลที่ 3) แต่งเป็นเนื้อเรื่องอิเหนารำพันถึงนางบุษบา
     - รำพันพิลาป (พ.ศ. 2385) - แต่งเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม แล้วเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด จึงบันทึกความฝันพร้อมรำพันความอาภัพของตัวไว้เป็น "รำพันพิลาป" จากนั้นจึงลาสิกขา
 - นิราศพระประธม (พ.ศ. 2385) - เชื่อว่าแต่งเมื่อหลังจากลาสิกขาและเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปนมัสการพระประธมเจดีย์ (หรือพระปฐมเจดีย์) ที่เมืองนครชัยศรี
  - นิราศเมืองเพชร (พ.ศ. 2388) - แต่งเมื่อเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อว่าไปธุระราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง นิราศเรื่องนี้มีฉบับค้นพบเนื้อหาเพิ่มเติมซึ่ง อ.ล้อม เพ็งแก้ว เชื่อว่า บรรพบุรุษฝ่ายมารดาของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองเพชร

ประเภทนิทาน
  
  เรื่องโคบุตร, เรื่องพระอภัยมณี, เรื่องพระไชยสุริยา, เรื่องลักษณวงศ์, เรื่องสิงหไกรภพ

ประเภทสุภาษิต

          - สวัสดิรักษา คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 2 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้าอาภรณ์
         - สุภาษิตสอนหญิง เป็นหนึ่งในผลงานซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงว่า สุนทรภู่เป็นผู้ประพันธ์จริงหรือไม่
       - เพลงยาวถวายโอวาท คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว

ประเภทบทละคร
   
- เรื่องอภัยณุรา ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประเภทบทเสภา
 - เรื่องขุนช้างขุนแผน (ตอนกำเนิดพลายงาม)

  - เรื่องพระราชพงศาวดาร


ที่มา:https://hilight.kapook.com/view/24209/26

คำอธิบาย

คำอธิบายเรื่องโคบุตร



ตอนที่1: กำหนดโคบุตร
ตอนที่่2:  ราชปุโรหิตชิงบัลลังก์เมืองพาราณสี นางมณีสาครและพระอรุณไปพบยักษ์ ๔ ตน
ตอนที่3: โคบุตรช่วยสองกุมาร กู้เมืองพาราณสี แล้วขอลาไปเที่ยวป่า
ตอนที่4: โคบุตรรบวิชาธร ฆ่าหัศกัณฐมัจฉาตาย
ตอนที่5: ยักขินีพาโคบุตรเข้าเมืองเนรมิต
ตอนที่6: โคบุตรได้นกขุนทองแล้วเข้าเมืองกาหลง
ตอนที่7: นกขุนทองถือหนังสือถวายนางอำพันมาลา
ตอนที่8:โคบุตรได้นางอำพันมาลาเป็นชายา
ตอนที่9: โคบุตรพานางอำพันมาลาหนีไปเมืองพาราณสี
ตอนที่10: อภิเษกโคบุตรกับนางมณีสาครและนางอำพันมาลา ที่เมืองปราการบรรพต
ตอนที่11: นางอำพันมาลาให้เถรกระอำทำเสน่ห์
ตอนที่12: พระอรุณมาเมืองปราการบรรพต จับเสน่ห์เถรกระอำ

ตอนที่13: โคบุตรปรึกษาโทษนางอำพันมาลา


ที่มา: https://sites.google.com/site/thai021ss/1-khobutr/2-neux-reuxng

ตัวละคร

ตัวละคร

โคบุตร
บุตรแห่งพระอาทิตและนางอัปสร เป็นมนุษย์กึ่งเทพ มีพลังมหาศาลเท่ากับพญาคชสาร 5 เชือกรวมกัน
แรกเริ่มที่อาศัยอยู่กับพญาราชสีห์เจ้าป่าดึกดำบรรพ์  โดยที่ไมรู้ว่าตัวเองมีชาติกำเนิดยังไง เพยงแต่รู้สึก
ว่าตัวเองแตกต่างจากราชสีห์ตัวอื่นๆ ในฝูงเท่านั้น

ชงโค
ราชสีห์หนุ่มผู้พี่ เป็นเพื่อนเล่นกับโคบุตรมาตั้งแต่เล็ก คอยช่วยเหลือน้องน้งเวลาผิดพลาด รักน้องโคบุตร
และพ่อแม่ราชสีห์มาก ถูกวางตัวให้เป็นราชันย์เจ้าป่าต่อไป

พญาราชสีห์ และนางราชสีห์
พ่อและแม่เลี้ยงของโคบุตร เป็นผู้ปกครองป่าดึกดำบรรพ์ด้วยความสงบสุขเสมอมา ตามคำขอร้องของพระอาทิตย์ที่มา ฝากบุตรไว้ เป็นราชสีห์ผัวเมียที่มีอำนาจสั่งการสิงห์สาราสัตว์ได้ทั้งป่า

อรุณกุมาร
พระอรุณกุมารโอรสแห่งเมืองพาราณสี ได้รับการช่วยเหลือจากโคบุตรและออกเดินทางผจญภัยไปด้วยกัน เพื่อช่วย โคบุตรตามหานางอัปสรผู้เป็นมารดา

มณีสาคร

เจ้าหญิงแห่งเมืองกาหลง ผู้มีชะตากรรมน่าสงสาร ถูกกักตัวอยู่แต่ในวังริมผาสูง เพราะเป็นผู้มีฌานวิเศษมองเห็นทุกสิ่ง  ในสามภพได้ ทำให้โคบุตรต้องตามหาตัวเพื่อถามเรื่องราวของนางอัปสรแม่ของตน



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โคบุตร

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง






รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

เนื้อเรื่องย่อ

       เนื้อเรื่องย่อนิทานโคบุตร




วรรณคดีเรื่อง โคบุตร เป็นนิทานเรื่องแรกที่สุนทรภู่แต่งขึ้น และยังเป็นนิทานเรื่องแรก ที่แต่งโดยคำ
กลอน ซึ่งก่อนหน้านั้นนิทานส่วนใหญ่จะแต่งเป็นร่ายบ้างลิลิตบ้าง
           สำหรับเรื่องโคบุตรนี้ เรื่องราวเริ่มต้นที่ พระอาทิตย์ ได้ลงมามีความสัมพันธ์กับเทพธิดาใน
ดอกบัวจนเกิดโอรส ด้วยกฎแห่งสวรรค์ ทำให้พระอาทิตย์ไม่สามารถเลี้ยงดูโอรสได้ จึงได้นำโอรสน้อยมา
ฝากให้ราชสีห์สองผัวเมียช่วยเลี้ยงดูราชสีห์สองผัวเมียเลี้ยงดูโอรสของพระอาทิตย์จนเจริญวัย จนวันหนึ่ง พระอาทิตย์ก็ได้ปรากฏองค์ขึ้น พร้อมกับพระราชทานนามให้โอรสน้อยว่า โคบุตร และยังได้มอบเครื่องทรงกับสร้อยสังวาล และลูกแก้ววิเศษที่ทำให้เหาะได้ให้พระโคบุตรพระอาทิตย์ได้ให้พระโคบุตรผู้เป็นโอรสออกท่องไปในโลกกว้างเพื่อหาเมืองเพื่อขึ้นปกครอง พระโคบุตรจึงออกเดินทางทันที โดยที่ราชสีห์ได้มอบผงยาวิเศษที่ใช้ชุบชีวิตคนขึ้นมาได้ให้พระโคบุตรด้วย พระโคบุตรออกเดินทางจนมาถึงสระบัวแห่งหนึ่ง ได้กับ เจ้าหญิงมณีสาคร กับพระอรุณกุมารผู้เป็นอนุชากำลังจะถูกยักษ์สี่ตนทำร้ายจึงได้เข้าไปช่วยและฆ่ายักษ์ทั้งสี่ตนตาย
             เจ้าหญิงมณีสาครได้เล่าว่า ตนและพระอนุชาเป็นโอรสและธิดาของ ท้าวพรหมทัต และพระนางปทุมทัศ แห่งนครพาราณสี แต่ได้มีปุโรหิตชั่วคนหนึ่ง สมคบคิดกับลูกชายโค่นล้มราชบัลลังก์และปลงพระชนม์ท้าวพรหมทัตกับพระนางปทุมทัศสิ้นพระชนม์ ส่วนตนและพระอรุณกุมารหนีออกมาได้ พระโคบุตรจึงได้อาสาที่กู้ราชบัลลังก์กลับคืนมาให้ นอกจากนี้ พระโคบุตรยังได้นำผงยาวิเศษที่ได้จากราชสีห์ชุบชีวิตยักษ์สี่ตนขึ้นมาเพื่อให้ช่วยในการนี้ด้วย พระโคบุตรกอบกู้ราชบัลลังก์แห่งเมืองพาราณสีกลับคืนมาได้สำเร็จ และชุบชีวิตท้าวพรหมทัตกับพระนางปทุมทัศขึ้นมา ทำให้ทั้งสองพระองค์ซึ้งในน้ำใจของพระโคบุตรยิ่งนัก จึงได้รับพระโคบุตรเป็นลูกบุญธรรม พระโคบุตรอาศัยในเมืองพาราณสีได้ปีกว่าๆ ก็ออกเดินทางอีกครั้ง โดยคราวนี้พระอรุณกุมารได้ขอติดตามไปด้วย
       ทั้งสองออกได้เหาะข้ามทะเล และได้พบกับ ยักษ์หัสกัณฐ์มัจฉา ซึ่งเป็นยักษ์ครึ่งปลา มี ๒๐ มือ หมายจะทำร้าย จึงได้เกิดการต่อสู้กัน แต่พระโคบุตรไม่สามารถฆ่าหัสกัณฐ์มัจฉาได้ เทวดาจึงปรากฏ
กายขึ้น และบอกพระโคบุตรว่า หัสกัณฐ์มัจฉาเคยได้พรว่าต้องตายด้วยน้ำมือของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น และในบริเวณไม่ไกลจากนั้น มีฝูงลิงอาศัยอยู่ ให้พระโคบุตรไปตามพญาลิงเผือกซึ่งเป็นจ่าฝูงมาพระโคบุตรไปตามพญาลิงเผือกมา และมอบแหวนวิเศษให้ พญาลิงเผือกจึงขว้างแหวนวิเศษนั้นใส่หัสกัณฐ์มัจฉาถึงแก่ความตายทันที
            หลังจากนั้น พระโคบุตรและพระอรุณกุมารก็อาศัยอยู่กับฝูงลิงจนเติบโตเป็นหนุ่ม จึงลาฝูงลิงและออกเดินทางต่อ พระโคบุตรและพระอรุณกุมารออกเดินทางมาจนถึงเมืองกาหลง ของท้าวหลวิราช ซึ่งท้าวหลวิราชมีธิดานามว่า นางอำพันมาลา เลิศด้วยสิริโฉมยิ่งนัก พระโคบุตรหลงรักนางแต่แรกเห็น และได้พานางหนีออกมาพระโคบุตร นางอำพันมาลา และพระอรุณกุมารได้เดินทางกลับสู่เมืองพาราณสี
อีกครั้ง ซึ่งท้าวพรหมทัต เตรียมจะยกราชบัลลังก์ให้แก่พระโคบุตร แต่พระโคบุตรกล่าวว่า ตนมิได้มีเชื้อสายแห่งนครพาราณสีแต่กำเนิด ราชบัลลังก์แห่งเมืองพาราณสีควรจะเป็นของพระอรุณกุมารมากกว่า
             พระอาทิตย์ผู้เป็นบิดาเห็นดังนั้น จึงได้สร้างเมืองใหม่ให้พระโคบุตรปกครอง ชื่อว่า เมืองปราการบรรพต โดยมีนางอำพันมาลา และนางมณีสาครเป็นมเหสีอยู่เคียงข้า หลังจากอภิเษกสมรสแล้ว พระโคบุตรก็เอาแต่หลงใหลนางมณีสาคร จนนางอำพันมาลาที่กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เกิดความอิจฉายิ่งนัก นางสร้อย ซึ่งเป็นนางรับใช้ของนางอำพันมาลาจึงได้ไปหา เถรกระอำ พระจอมขมังเวทย์ให้ช่วยทำเสน่ห์ให้พระโคบุตรหลงใหลนางอำพันมาลา และพิธีก็ได้ผล พระโคบุตรเอาแต่หลงใหลนางอำพันมาลาจนไม่สนใจกิจการงานเมืองจนกระทั่งความจริงปรากฏ พระโคบุตรก็ทรงกริ้วมาก และเนรเทศนางอำพันมาลาออกจากเมือง
ซึ่งนางอำพันมาลาได้รอนแรมอยู่ในป่าจนสลบไป   หลังจากนางอำพันมาลาสลบอยู่กลางป่า ราชสีห์ที่เลี้ยงดูพระโคบุตรเมื่อครั้งเยาว์วัยมาพบเข้า จึงได้พาไปอาศัยอยู่ด้วยจนนางให้กำเนิดโอรสที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายพระโคบุตรยิ่งนัก ด้วยความสงสัย ราชสีห์จึงได้ถามจนทราบความว่าเรื่องมีที่มาอย่างไร ราช
สีห์จึงพานางอำพันมาลาไปเข้าเฝ้าพระโคบุตรทันที   เมื่อได้เห็นหน้าโอรสน้อย พระโคบุตรก็ใจอ่อน จึงรับนางอำพันมาลาซึ่งสำนึกผิดแล้วและพระโอรสกลับเข้ามาอยู่ในเมือง ซึ่งขณะนั้น นางมณีสาครเองก็มีโอรสน้อยเช่นกัน พระโคบุตรจึงตั้งชื่อโอรสอันเกิดจากนางมณีสาครว่า มณีสุริยัน และตั้งชื่อโอรสอันเกิดจากนางอำพันมาลาว่า อำพันสุริยา
        กล่าวถึง ตะวันยักษ์นาคา สหายของหัสกัณฐ์มัจฉา เกิดความแค้นที่พระโคบุตรสังหารสหายของตน จึงได้ส่ง นางมณีกลีบสมุทร ซึ่งเป็นธิดา ให้ไปจับตัวพระโคบุตรมาให้ตนสังหารเสีย ซึ่งนางมณีกลีบสมุทรได้แปลงกายเป็นสาวสวยเข้ามายั่วยวนจนพระโคบุตรหลงใหล

วันเวลาผ่านไปจนนางมณีกลีบสมุทรตั้งครรภ์อ่อนๆ ก็นึกถึงหน้าที่บิดาของตนสั่งมาได้ จึงจับตัวพระโคบุตรไปให้ตะวันยักษ์นาคา แต่ก็ขอร้องให้บิดาไว้ชีวิตพระโคบุตรด้วย เพื่อเห็นแก่ลูกในท้องของตน ในที่สุด ตะวันยักษ์นาคาก็ใจอ่อน จึงยอมปล่อยพระโคบุตรไปพระโคบุตรและมเหสีทั้งสามจึงปกครองเมืองปราการบรรพตสงบสุขนับแต่นั้นมา

ที่มา: https://sites.google.com/site/thai021ss/1-khobutr/2-neux-reuxng

ข้อคิด

ข้อคิด

อย่าหลงเชื่อคำพูดมนุษย์ "มนุษย์สุดเชื่อ มันเหลือปด พูดสบถ แล้วสะบัด ไม่ขัดสน เพราะแต่คำ น้ำจิต คิดประจญ ปากเป็นผล ใจเป็นพาล เหลือมารยา ใครหลงสิ้น กินลูกยอ ก็พอม้วย ต้องตายด้วย ปากมนุษย์ ที่มุสา คนทุกวัน มันมิซื่อ ถือสัจจา สู้สัตว์ป่า ก็ไม่ได้ ใจลำพอง"

1.ให้คติสอนใจในเรื่องความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก

2.ใช้สติแก้ปัญหา


3.รู้จักให้อภัยและมีเม







ที่มา: https://sites.google.com/site/thai021ss/1-khobutr/3-khxkhid

ประวัติความเป็นมาของนิทานโคบุตร

ประวัติความเป็นมา         โคบุตรเป็นกลอนนิทานเรื่องแรกของสุนทรภู่ แต่งขึ้นเพื่อถวายเจ้านายในพระราชวังหลังพระองค์หนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่า...